4 เครื่องมือ AI แห่งปี 2024 ที่จะช่วยยกระดับธุรกิจของคุณได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ!
4 เครื่องมือ AI แห่งปี 2024 ที่จะช่วยยกระดับธุรกิจของคุณได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ!
ทุกวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า ระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) มีบทบาทสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก และผู้บริหารทุกคนต่างก็มองหาแนวทางในการนำ AI มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน รวมถึงยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งสิ้น
โดยในปี 2024 นี้ เทรนด์ของการใช้งาน AI หรือเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับ AI เด่นๆ นั้นมีอะไรบ้าง? เราจะมาแจกแจงให้ทุกท่านได้ทราบกัน
เครื่องมือ AI เพื่อสร้างประสบการณ์ของลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น
AI Chatbot : เพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการลูกค้าอย่างราบรื่น
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา AI Chatbot ได้พัฒนาขึ้นอย่างมากทั้งในด้านความสามารถและความซับซ้อนในการทำงานเป็นอย่างมาก และได้กลายเป็นหนึ่งใน AI Tools ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในระดับของธุรกิจ อาทิ
เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการลูกค้าได้แบบไร้ขีดจำกัด เนื่องจาก AI Chatbot สามารถให้บริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วันต่อสัปดาห์ สามารถตอบคำถามลูกค้าได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว และสามารถแนะนำสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าได้
ลดต้นทุนการดำเนินงาน เนื่องจากAI Chatbot สามารถทำงานอัตโนมัติแทนพนักงานบางส่วน ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าจ้างและค่าสวัสดิการ
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ตัว AI Chatbot สามารถลดภาระงานที่จำเจ ส่งผลให้พนักงานเปลี่ยนไปทำงานที่ซับซ้อนกว่าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ด้วย AI Chatbot จะสามารถช่วยให้ธุรกิจสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
AI Fraud Detection : เช็กเอกสารสำคัญที่มีโอกาสปลอมแปลงเข้าสู่ระบบด้วย AI
การตรวจสอบเอกสารปลอม โดยเฉพาะบัตรประชาชน เป็นหนึ่งในงานสำคัญที่ AI สามารถเข้ามาช่วยได้ ด้วยการเทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ในการวิเคราะห์ข้อมูลภาพและข้อความบนบัตรประชาชนเพื่อตรวจจับความผิดปกติ เช่น ข้อมูลบนบัตรไม่ตรงกัน ลายเซ็นปลอม หรือรูปถ่ายปลอม มี Microprint, Hologram หรือ Redline ที่ปรากฏบนรูปภาพหรือไม่ เป็นต้น
การนำ AI มาใช้ในการตรวจสอบเอกสารปลอมโดยเฉพาะบัตรประชาชน มีข้อดีหลายประการ เช่น
มีความแม่นยำสูง เนื่องจาก AI สามารถตรวจจับความผิดปกติบนเอกสารปลอมได้อย่างแม่นยำ และสามารถคัดกรองบัตรประชาชนด้วยเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งช่วยลดโอกาสในการปลอมแปลงเอกสารสำคัญได้
ช่วยลดต้นทุนและเวลา แน่นอนว่าการนำเอา AI เข้ามาช่วย จะส่งผลให้ภาคธุรกิตสามารถลดต้นทุนและเวลาในการตรวจสอบเอกสารลงได้เป็นอย่างมาก
AI Speech-to-text : แปลงเสียงของผู้ให้บริการเป็นข้อความเพื่อเช็กคุณภาพของทีมให้บริการลูกค้า
หนึ่งในปัจจัยความสำเร็จของทุกธุรกิจ นั่นก็คือการพัฒนาคุณภาพในการให้บริการลูกค้า ซึ่งขั้นตอนการตรวจสอบการทำงาน (QC) ของผู้ให้บริการลูกค้าจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ด้วยการนี้ AI Speech-to-text หรือเทคโนโลยีการแปลงเสียงพูดเป็นข้อความ สามารถช่วยตรวจสอบการทำงานของผู้ให้บริการลูกค้าได้โดยไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงงาน
ตรวจสอบความเหมาะสมของคำพูด การนำเอา AI Speech-to-text สามารถช่วยตรวจสอบความเหมาะสมของคำพูดของผู้ให้บริการลูกค้า เช่น การใช้คำสุภาพ การใช้คำศัพท์ที่ถูกต้อง หลีกเลี่ยงการใช้คำหยาบคาย เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ลูกค้าได้รับความประทับใจในการให้บริการ
ตรวจสอบการแก้ปัญหา AI Speech-to-text สามารถช่วยตรวจสอบการแก้ปัญหาของผู้ให้บริการลูกค้า เช่น ระยะเวลาในการแก้ไขปัญหา ความถูกต้องในการแก้ไขปัญหา เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถมั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับบริการที่มีประสิทธิภาพ
ลดภาระงานของผู้ตรวจสอบ เนื่องจากการใช้งาน AI Speech-to-text จะสามารถทำการสรุป (Summarize) บทสนทนาให้กระชับ เข้าใจง่าย ไม่ต้องเสียเวลามานั่งฟังทีละประโยค ลดการสิ้นเปลือง Manhour ได้เป็นอย่างดี

AI OCR : แปลงภาพเป็นข้อมูล Text เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์และประมวลผลสำหรับวางแผนธุรกิจ
OCR หรือ Optical Character Recognition ถือเป็นหนึ่งใน AI Tools ที่สามารถแปลงข้อมูลตัวอักษร จากเอกสารรูปภาพหรือเอกสารกระดาษให้กลายเป็นข้อมูลแบบดิจิทัลได้ เทคโนโลยี OCR มีประโยชน์มากมายสำหรับธุรกิจและองค์กรต่างๆ ในการแปลงเอกสารสำคัญต่างๆ เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาบัตรเครดิต ใบเสนอซื้อ ใบเสนอขาย ใบเสร็จ ฯลฯ ให้กลายเป็นข้อมูลแบบดิจิทัล เพื่อนำไปวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจต่อได้ง่ายยิ่งขึ้น
ตัวอย่างการนำ OCR มาใช้แปลงเอกสารสำคัญต่างๆ ให้กลายเป็นข้อมูลแบบดิจิทัล มีดังนี้
ธุรกิจการเงิน ธุรกิจการเงิน เช่น ธนาคาร สถาบันการเงิน บัตรเครดิต สินเชื่อ ฯลฯ สามารถใช้ OCR เพื่อแปลงข้อมูลบนสำเนาบัตรประชาชน สำเนาบัตรเครดิต ใบแจ้งยอดบัญชี ฯลฯ ให้กลายเป็นข้อมูลแบบดิจิทัล เพื่อใช้ในการตรวจสอบข้อมูลลูกค้า อนุมัติสินเชื่อ หรือติดตามหนี้สิน
ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจค้าปลีก เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ฯลฯ สามารถใช้ OCR เพื่อแปลงข้อมูลบนใบเสร็จรับเงิน ใบสั่งซื้อ ใบกำกับภาษี ฯลฯ ให้กลายเป็นข้อมูลแบบดิจิทัล เพื่อใช้ในการติดตามการขาย วิเคราะห์ยอดขาย หรือจัดทำบัญชี
ธุรกิจการผลิต ธุรกิจการผลิต เช่น โรงงานอุตสาหกรรม โรงงานผลิตอาหาร โรงงานผลิตยา ฯลฯ สามารถใช้ OCR เพื่อแปลงข้อมูลบนใบสั่งผลิต ใบกำกับสินค้า ใบรับรองคุณภาพ ฯลฯ ให้กลายเป็นข้อมูลแบบดิจิทัล เพื่อใช้ในการวางแผนการผลิต ควบคุมคุณภาพ หรือติดตามสต็อกสินค้า
สรุป
จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีและเครื่องมือ AI ในปัจจุบันนั้น มีแนวทางการใช้ (Use case) มากมาย ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับภาคธุรกิจได้หลากหลายประเภท ดังนั้นหากคุณยังไม่แน่ใจว่าจะหยิบเอาเครื่องมือ AI ตัวใดมาใช้กับกระบวนการทำงานของธุรกิจคุณ ทางแอพแมนก็สามารถให้คำปรึกษาและช่วยเหลือ เพื่อให้องค์กรของคุณสามารถประยุกต์ใช้ AI กับกระบวนการทำงานของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
